อิสรภาพทางการเงิน (Financial Freedom) หมายถึง การที่บุคคล หรือครอบครัวใด ที่มีเงิน หรือทรัพย์สินที่มีมูลค่าของทรัพย์สินมากพอที่จะดำรงชีวิต จับจ่ายใช้สอย โดยไม่ต้องหารายได้จากการทำงาน ไปจนวันสุดท้ายของชีวิต และสามารถถ่ายโอนไปสู่ลูกหลาน หรือคนอื่นได้ตามต้องการ
	 
	 
	รูปที่ 1.6 อิสรภาพทางการเงิน
	ที่มา : http://ocdn.eu
	 
	สนใจหนังสือ และความรู้ของผู้เขียน
	เรื่องอื่น ๆ มีทั้งโหลดได้ฟรี และราคาถูก นอกเหนือจากนี้ 
	 
	คลิก 
	 
	มีหนังสือ สู่อิสรภาพทางการเงิน (To Financial Freedom) 1
	ทำเป็นเล่ม อีบุ๊ค เพื่อสนับสนุนเว็บไซต์
	รูปหน้าปกหนังสือ
	 
	สามารถโหลดอ่านตัวอย่างก่อนซื้อได้เลยครับ ฟรี
	หากผู้อ่านสนใจคลิกที่ชื่อสำนักพิมพ์
	 
	meb          Se-ed     Naiin       Ookbee       Bundanjai
	 
	 
	 
	      จะทำงานก็ได้ เพื่อไม่ให้รู้สึกเหงา หรือรู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่า หรือรู้สึกไม่มีประโยชน์เมื่อเกิดว่างงานนาน ๆ  แต่จะทำแบบไม่เครียดอะไร หรือกลายมาเป็นผู้ให้แก่สังคม ในการทำสังคมสงเคราะห์ช่วยเหลือสังคมได้ 
	 
	เมื่อมีผู้ให้มากขึ้น และจากผู้เคยรับได้กลายเป็นผู้ให้ สังคม หรือประเทศของเราจะน่าอยู่
	 
	 
	รูปที่ 1.7 การยื่นมือช่วยเหลือคนอื่นในยามที่เรามีพอกิน-พอใช้แล้ว
	ที่มา: https://assets.change.org
	 
	      คนที่มีอิสรภาพทางการเงิน จะมีสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ (กระแสเงินสด) ที่อย่างน้อยก็เท่ากับค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายไปในแต่ละวัน 
	 
	      รายได้ที่มีอิสระของงานนั้น โดยทั่วไปจะเป็น รายได้ทางอ้อม หรือรายได้แฝง (Passive income: รายได้ที่ไหลเข้ามาต่อเนื่อง โดยไม่ต้องใช้ทั้งแรง และเวลา หรือใช้ให้น้อยที่สุด) และเป็นฐานรากต่อการบรรลุสู่อิสรภาพทางการเงิน
	 
	 
	รูปที่ 1.8 รายได้เข้ามาโดยไม่ต้องออกแรงทำงาน
	ที่มา: https://www.bajajfinservmarkets.in
	 
	 
	ขออธิบายเรื่องรายได้สักเล็กน้อย 
	 
	        โดยทั่วไปแล้ว เงินที่หามาจนเป็นรายได้ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ นั่นก็คือ รายได้จากการทำงาน และรายได้แฝง
	 
	1. รายได้จากการทำงาน (Active income) คือ รายได้ที่เกิดขึ้นจากการทำงาน ที่ใช้แรงเข้าแลก, ใช้ความคิด แล้วถ้าวันไหนไม่ได้ทำ รายได้ส่วนนี้ก็จะไม่ได้ เช่น การเปิดร้านขายของในตลาด, การเป็นลูกจ้างในสถานประกอบการ, การเป็นพนักงานเงินเดือน, เป็นเจ้าของกิจการ, เป็นข้าราชการ ฯลฯ
	 
	ข้อดี: หากต้องการรายได้เพิ่มมากขึ้น ก็เพิ่มเวลาทำงานให้มาก หรือใส่ทักษะความสามารถของตนเองลงไปให้คนเห็นจนผลงานออกมาดี ทำให้องค์กรที่ทำงานเห็นความสามารถ ก็จะเพิ่มรายได้มากขึ้น ผลตอบแทนจะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับทักษะความเชี่ยวชาญของตนเอง
	 
	ข้อเสีย: เมื่อรายได้มาจากการทำงาน จำเป็นต้องใช้เวลามาแลก ต้องลงแรงกาย และแรงใจ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ต้องการ และบางครั้งเมื่อทำไปนาน ๆ อายุยิ่งมากจะเป็นข้อจำกัดต่อการทำงาน จะเห็นได้ว่าเมื่ออายุมากขึ้น จำเป็นต้องมีการเกษียณตัวเอง 
	 
	 
	รูปที่ 1.9 รายได้จากการทำงาน และรายได้แฝง
	ที่มา: https://i.ytimg.com
	 
	2. รายได้แฝง (Passive income) คือ รายได้ที่ไม่ต้องใช้แรง หรือใช้เวลาในการทำงานเพื่อแลกเงิน แต่จะได้รับผลตอบแทนจากการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น เป็นเจ้าของบ้านเช่าที่รับผลตอบแทนจากค่าเช่า, การฝากประจำในธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูง, การลงทุนในหุ้น, กองทุน, พันธบัตร, ฯลฯ 
	 
	ข้อดี: มีความเป็นอิสระในชีวิตที่ไม่ต้องแลกมาด้วยการทำงาน หรืออาจจะทำเล็กน้อย ถือได้ว่าเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน หรือคนส่วนใหญ่เลยที่เดียว  
	 
	ข้อเสีย: ต้องมีสถานะเป็นเจ้าของในสินทรัพย์นั้น ๆ เสียก่อนที่จะทำให้มันสามารถสร้างรายได้ออกมา ต้องใช้เวลาในการที่จะเก็บสะสมไปเรื่อย ๆ เพราะเริ่มแรกผลตอบแทนอาจไม่สูง ต้องใช้เวลา และการเลือกสินทรัพย์ที่ดี จะทำให้เกิดการเติบโตจนเกิดรายได้ เหมือนกับการปลูกต้นไม้ ที่ต้องอดทนใช้เวลาหมั่นรดน้ำ, พรวนดิน, ใส่ปุ๋ย กว่าที่จะได้กินดอกกินผล ก็ต้องใช้เวลาหลายปี   
	 
	 
	 
	 
	ข้อคิดดี ๆ ที่นำมาฝาก
	 
	 
	“จงอ้าแขนรับต่อ การเปลี่ยนแปลง
	แต่อย่าได้ทิ้งคุณค่า ที่มีอยู่ในตัวของคุณ
	Open your arms to change,
	but don’t let go of your values.”
	 
	Dalai Lama
	 
	<หน้าที่แล้ว                                 สารบัญ                           หน้าต่อไป>