ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2518 สถาบันเครื่องจักรกลอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (Japan Society for the Promotion of Machine Industry: JSPMI) ได้แบ่งประเภทของผลิตภัณฑ์แมคาทรอนิกส์อยู่ 4 ประเภท ดังนี้
ประเภทที่ 1 ผลิตภัณฑ์เครื่องกลพื้นฐานที่มีอิเล็กทรอนิกส์รวมเข้าด้วยกันเพื่อก่อให้เกิดการทำงานที่ดีขึ้น ยกตัวอย่าง เครื่องมือกลควบคุมเชิงตัวเลข และเครื่องจักรกลการผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนความเร็วได้
รูปเครื่องมือกลควบคุมเชิงตัวเลข
แนะนำเพื่อให้อ่านได้ต่อเนื่องให้ คลิกขวาเลือก Open link in new window
ประเภทที่ 2 ระบบเครื่องกลธรรมดาที่มีการอัพเดตอุปกรณ์ภายในให้ใช้อิเล็กทรอนิกส์เข้าควบคุม แต่ผู้ใช้ไม่สามารถแก้ไขการทำงานของระบบได้ ยกตัวอย่างเช่น จักรเย็บผ้าสมัยใหม่ และระบบการผลิตอัตโนมัติ
รูปจักรเย็บผ้าสมัยใหม่
ประเภทที่ 3 ระบบจดจำฟังชันก์การทำงานของระบบเครื่องกลธรรมดา แต่กลไกภายในถูกแทนที่ด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ยกตัวอย่างเช่น นาฬิกาดิจิตอล
รูปนาฬิกาดิจิตอล
ประเภทที่ 4 ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาพร้อมกับเทคโนโลยีกลไก และอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้วิธีการทำงานประสานร่วมกัน (Synergistic integration) ยกตัวอย่างเช่น เครื่องถ่ายเอกสาร (Photocopiers), เครื่องซักผ้าอัจฉริยะ (Intelligent washers & Dryers), หม้อหุงข้าวสมัยใหม่ (Modern rice cookers) และเตาอบอัตโนมัติ ฯลฯ
รูปเครื่องถ่ายเอกสารสมัยใหม่
รูปเครื่องซักผ้า กับอบผ้าสมัยใหม่
ความสามารถของเทคโนโลยีในแต่ละประเภทผลิตภัณฑ์ที่เป็นเมคาทรอนิกส์ เป็นลักษณะของผลผลิตที่เป็นรูปแบบ กลไกอิเล็กทรอนิกส์ หรือกลอิเล็ก (Electromechanical) การพัฒนามีความก้าวหน้าจนทำให้เกิดการก้าวกระโดด โดยมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้แก่ ทฤษฏีควบคุม (Control theory), เทคโนโลยีการคำนวณ (Computation technology) และไมโครโปรเซสเซอร์ (Microprocessors)
รูปตัวอย่างไมโครโปรเซสเซอร์
จากเทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้ผลที่เกิดขึ้นถูกนำมาใช้ในประเภทที่ 1 มีการใช้เทคโนโลยีของเซอร์โว (Servo technology), อิเล็กทรอนิกส์กำลัง (Power electronics) และทฤษฏีควบคุม
รูปเทคโนโลยีด้านเซอร์โว
ผลที่เกิดขึ้นถูกนำมาใช้ในประเภทที่ 2 มีการใช้ความสามารถของเครื่องคำนวณเบื้องต้นที่ใช้ร่วมกับอุปกรณ์หน่วยความจำ (Memory devices) และความสามารถออกแบบวงจรสั่งงานได้
รูปตัวอย่างอุปกรณ์ในด้านหน่วยความจำ
ผลที่เกิดขึ้นถูกนำมาใช้ในประเภทที่ 3 ใช้ไมโครโปรเซสเซอร์ และวงจรรวมเพื่อแทนที่การควบคุมด้วยระบบทางกล
รูปไมโครโปรเซสเซอร์ และไอซีถูกนำมาใช้แทนที่ระบบกลไกควบคุม
สุดท้ายผลที่เกิดขึ้นถูกนำมาใช้ในประเภทที่ 4 มีความชัดเจนที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของระบบแมคาทรอนิกส์จริง ๆ ผ่านการทำงานผสานกันของระบบทางกล และอิเล็กทรอนิกส์
แต่ทว่า มันก็ยังไม่สมบูรณ์พร้อม จนกระทั่งประมาณปี 2518 มีการพัฒนาด้านไมโครโปรเซสเซอร์โดย บริษัทอินเทล (Intel Corporation) จึงมีการนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้เพิ่มร่วมกันกับระบบทางกลจนเกิดให้เห็นเป็นภาคปฏิบัติ
ประมาณปี พ.ศ. 2528 เกิดการแบ่งกันระหว่างการควบคุมรุ่นเก่า และการควบคุมรุ่นใหม่ สิ่งที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ก็คือการเกิดขึ้นของ ทฤษฏีการควบคุมเข้มแข็ง (Robust control theory) ที่ถูกนามาใช้ทั่วไปในงานของ วิศวกรรมควบคุม (Control engineering) ต้องมีการพิจารณาในเรื่องของโดเมนเวลา และโดเมนความถี่ควบคู่กัน เพื่อที่จะเตรียมเข้าไปสู่การวิเคราะห์ และออกแบบของระบบควบคุม
ยิ่งกว่านั้นประมาณปี พ.ศ. 2530 มีการใช้ประโยชน์จาก ดิจิตอลคอมพิวเตอร์ (Digital computer) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นของระบบควบคุมที่กลายเป็นชุดคำสั่ง หลังจากนั้นไม่นานก็มีการใช้งานกันอย่างกว้างขวาง
ถึงอย่างไร คำนิยามความหมายของคำว่าแมคาทรอนิกส์สมัยใหม่เห็นได้ชัดก็คือ แมคาทรอนิกส์สมัยใหม่มีความเกี่ยวพันกับคอมพิวเตอร์ซึ่งมันกลายเป็นหัวใจของส่วนประกอบในเครื่องกล เครื่องจักรกล และเครื่องมือกลเกือบทั้งหมด
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ในความเป็นจริง การทำงานของไมโครโปรเซสเซอร์ร่วมกันกับเครื่องจักร สามารทำให้มันมีความแม่นยำในเรื่องการปรับเปลี่ยนกำลังงานทางกล และมีความสามารถปรับการทำงานของเครื่อง ให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงไปตามงานที่กำลังทำอยู่ นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญของแมคาทรอนิกส์สมัยใหม่ และอุปกรณ์เครื่องกลที่มีความเป็นอัจฉริยะ
ข้อคิดดี ๆ ที่นำมาฝาก
"คุณจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของคนอื่น
เมื่อคุณได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดของคุณไป
You get the best out of others when you give the best of yourself."
Harvey Firestone