ปัญหาที่ ๖ เหตุที่ทำให้สัตว์เกิดขึ้น (คัพภาวักกันติปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การเกิดของสัตว์ทั้งหลายย่อมประกอบไปด้วยปัจจัย ๓ อย่าง คือ ๑. มารดาบิดาพร้อมเพรียงกัน ๒. มารดามีระดู ๓. สัตว์ลงมาปฏิสนธิ ฉะนี้มิใช่หรือ”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร ตรัสไว้ดังนั้นจริง”
ม: “ก็ถ้าอย่างนั้น ไฉนในสุวรรณสามชาดกจึงว่า สามกุมารเกิดเพราะปัจจัย ๒ อย่าง คือ ๑. นางปาริกาผู้เป็นมารดามีระดู ๒. พระสามะลงมาปฏิสนธิ ฉะนี้เล่า”
รูปสุวรรณสามชาดก
อ่านสุวรรณสามชาดก
ม: “ขอถวายพระพร อาตมภาพขอฟื้นเรื่องสุวรรณสามชาดกมาถวายก่อน คือพระทุกุลดาบสและนางปาริกาดาบสินีท่านเป็นผู้ยินดีในที่สงัดเงียบบำเพ็ญตบะอย่างเคร่งครัดจนปรากฏทั่วไป
วันหนึ่งท้าวสหัสนัยจึงมารำพึงว่า พระดาบสดาบสินีทั้ง ๒ นั้นแก่เฒ่ามากแล้วน่าจะมีความลำบากต่อไปควรเราจะไปเชิญให้ท่านส้องเสพย์ตามประเพณีโลก มีเทวดาดำริฉะนี้แล้วจึงทรงกระทำตามนั้นทุกอย่าง
แต่พระดาบสดาบสินีไม่เห็นด้วย เพราะท่านรักศีลมากกว่าในที่สุดพระอินทร์ก็อ้อนวอนขอให้ท่านทุกุลดาบส กระทำพึงเอาฝามือลูบนาภี (ท้อง) นางปาริกาดาบสินี ในคราวนางมีระดู
ขอถวายพระพร ตามเรื่องแม้ปรากฏว่าพระดาบส ดาบสินีทั้ง ๒ นั้น จะมิได้รักใคร่กันด้วยอำนาจกามกิเลส ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยองค์ที่ ๑ นั้นก็จริง แต่เมื่อว่าโดยอนุรูปแล้วการที่ท่านทุกุลดาบส เอาฝ่ามือลูบลงที่นาภีนั้นก็เป็นปัจจัยอันหนึ่งได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า การเกิดของสัตว์ย่อมมีเพราะประชุมแห่งปัจจัย ๓ นั้น”
ม: “เธอว่านี้ชอบแล้ว”
จบคัพภาวักกันติปัญหา
ปัญหาที่ ๗ คำสอนที่เลือนหายไป (สัทธัมมอันตรธานปัญหา)
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอานนท์ว่าพระสัทธรรมจักตั้งอยู่ได้ ๕๐๐๐ ปี ฉะนี้มิใช่หรือ”
พระนาคเสนทูลตอบว่า “ขอถวายพระพร เป็นดังพระองค์ตรัสนั้นแล”
ม: “ก็เพราะเหตุอะไร เมื่อจวนจะนิพพาน พระพุทธองค์จึงตรัสกะสุภัททปริพาชกว่า ถ้าภิกษุปฏิบัติชอบอยู่ตลอดกาลแล้ว โลกจะไม่ว่างเปล่าจากพระอรหันต์ฉะนี้เล่า”
น: “ขอถวายพระพร พระพุทธพจน์ที่ตรัสแก่พระอานนท์นั้น พระองค์ทรงกำหนดอายุพระศาสนา ตรัสแสดงกาลที่สิ้นไปและกาลที่เหลืออยู่ว่า ถ้าไม่มีสตรีมาบวชเป็นนางภิกษุณีไซร้พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ได้นับพันปี แต่นี่เพราะมิเป็นเช่นนั้นจึงตั้งอยู่
ได้ไม่ถึง
ขอถวายพระพร การที่มีพระพุทธดำรัสดังนี้จะทรงหมายถึงความเสื่อมแห่งพระศาสนา หรือทรงค้านการตรัสรู้”
ม: “ก็ทรงหมายถึงความเสื่อมแห่งพระศาสนา นี่เธอ ศาสนาจะเสื่อมไปได้อย่างไร เธอจงเปรียบให้ฟัง”
น: “เปรียบเหมือนสระน้ำ ถ้าไม่มีทางที่น้ำจะไหลเข้าได้เลย จะงวดลดลงไปหรืออย่างไร”
รูปเปรียบเหมือนสระน้ำที่แห้งขอดจากการระเหย
ม: “ก็งวดลงไปทุกที (จากการระเหย) ที่สุดก็แห้งเท่านั้น”
น: “นั่นแลฉันใด แม้สระคือพระสัทธรรมก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือถ้าไม่มีศีลาจารและวัตตปฏิบัติอยู่ด้วยแล้วพระสัทธรรมก็จะเสื่อมลงทุกที เป็นอันว่าทำอายุพระศาสนาให้สั้นเข้า
แต่ถ้ายังมีศีลาจารและวัตตปฏิบัติบริบูรณ์ดีอยู่ตราบใด สระคือพระสัทธรรมก็ยังเต็มเปี่ยมอยู่ตราบนั้น เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า ถ้าภิกษุปฏิบัติชอบอยู่ตลอดกาลแล้ว โลกก็จะไม่ว่างเปล่าจากพระอรหันต์”
ม: “เธอว่านี้ชอบแล้ว”
จบสัทธัมมอันตรธานปัญหา